ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ธรรมเย้ยมาร

๑๙ เม.ย. ๒๕๕๗

ธรรมเย้ยมาร

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องมาร

กราบนมัสการพระคุณเจ้า ที่หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ในเทศนาครั้งหนึ่ง ประโยคตอนจบว่ามารเอย เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกต่อไปแล้ว เอวัง

ผมรู้สึกว่ามันมีความหมายลึกซึ้งมาก ในที่นี้หมายความถึงสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจบลงที่ความคิดใช่หรือไม่ครับ

ตอบ : นี่คำถามไง ฉะนั้น คำถามเขาถามมาเพราะไปฟังเทศน์มา มันไม่ใช่การปฏิบัติ มันไม่ใช่การปฏิบัติแล้วมีปัญหา หรือว่าไม่ใช่ว่าความสงสัยของตน เพียงแต่ไปฟังเทศน์ของเราไง

ทีนี้ฟังเทศน์ของเรามารเอย เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลยอันนี้เป็นคำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในบาลี จะบอกว่าอยู่ในพระไตรปิฎก เขาก็จะบอกอยู่ที่ไหนอีกล่ะ

อยู่ในพระไตรปิฎกนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโต้แย้งกับมารๆ มารคืออะไร มารคือสิ่งที่ว่าอยู่ในหัวใจของ เห็นไหม เทพฝ่ายมาร เทพฝ่ายเทพ ถ้าฝ่ายเทพคือเทพฝ่ายดี เทพฝ่ายสัมมาทิฏฐิ ถ้ามิจฉาทิฏฐิ เขามีกิเลสในหัวใจของเขา มันเป็นตัวแทนไง อย่างพวกพญามารเขามีตัวแทนของเขา ตัวแทนฝ่ายที่ทำลาย ฝ่ายทำลายของเขานะ แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงเข้าไปในกิเลส กิเลสในใจของเราคืออวิชชา คือความไม่รู้ของเรา

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านจะปรินิพพาน ท่านพยายามบอกเป็นเครื่องหมาย บอกให้พระอานนท์อาราธนาไว้ถึง ๑๖ คราว มารดลใจพระอานนท์ทั้งหมดเลย มารดลใจทั้งนั้นๆ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเรียกว่ามันเป็นวิหารธรรม เวลาพิจารณากิ่งก้านสาขาธรรมในหัวใจ มารจะมาโต้แย้งนะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานเถิด จะอยู่ไปทำไมให้เดือดร้อนไป เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว จะมาอยู่เดือดร้อนทำไม ก็นิพพานซะ เพื่อจะได้ไปเสวยวิมุตติสุขโดยความเป็นจริงนี่โต้แย้งกับมารมาตลอด

แต่พวกเรา มารมันคืออะไร มารมันคืออะไร ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระอานนท์ บอกเป็นนิมิตเป็นเครื่องหมาย บอกเป็นเชิงว่าให้พระอานนท์อาราธนาถึง ๑๖ หน แล้วมารก็ดลใจตลอด ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพาน

พอถึงที่สุดแล้ว พระอานนท์โดนมารดลใจแล้วรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้นิมนต์เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยปลงอายุสังขาร พอปลงอายุสังขารขึ้นมา โลกธาตุหวั่นไหว โลกธาตุหวั่นไหว พระอานนท์ถึงไปถามพระพุทธเจ้า นี่คืออะไร มันเกิดอะไรขึ้นถึงเป็นแบบนี้

พระพุทธเจ้าบอกว่า มันก็เป็นเพราะว่า หนึ่ง พระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเทศนา พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร โลกธาตุจะหวั่นไหว

พระอานนท์ถึงได้หูตาสว่าง จะมาอาราธนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า หมดแล้ว เราได้ปลงอายุสังขารแล้ว จบไปแล้ว

นี่ไง ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเวลามารดลใจ มารมาแบบว่าชักนำ คือว่าความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความลังเลในใจต่างๆ นั่นน่ะ

ฉะนั้น เวลาถึงที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมารไง เย้ยมารเพราะว่ามารจะมาครอบงำ มารจะมาต่างๆ นี่ธรรมเย้ยมารมารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว ต่อไปนี้เจ้าจะเกิดในใจเราไม่ได้เลยนี่มันเป็นเรื่องไง เป็นเรื่องที่ว่าธรรมเย้ยมาร

ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง เห็นไหมเราจะไม่ดำริถึงเจ้าดำริถึงเจ้า เพราะไม่ดำริถึงเจ้าก็ไม่เปิดช่อง ไม่เปิดช่อง มารก็เกิดไม่ได้ ไม่เปิดช่องให้มารได้ขยับเลย แล้วมารไม่มีอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว แต่ไม่เปิดช่องเลย เห็นไหม

ฉะนั้น สิ่งนี้มันเป็นบาลี เป็นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าพูดถึงตรงนี้เยอะมาก ถ้าพูดถึงตรงนี้เยอะมาก มันเป็นผลที่ปฏิบัติแล้วสำเร็จแล้ว ฉะนั้น สิ่งนี้เป็นความจริง เป็นความจริงว่า สิ่งที่มันมีอยู่ เรามีกิเลสอยู่ เรามีมารอยู่ในหัวใจ แต่เราไม่รู้ ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นของเรา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไปสัญญามา ก็อปปี้มาแล้วก็ว่าเราเข้าใจ นี่มันเป็นทางวิชาการ แล้วเราก็ศึกษามา

เหมือนพระสารีบุตรเลย ไปฟังพระอัสสชิน่ะ เย ธมฺมาฯ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงเหตุไงธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ให้ไปชำระล้างที่เหตุนั้นพระสารีบุตรฟังพระอัสสชิหนเดียวเป็นพระโสดาบันเลย พวกเราชาวพุทธจะท่องได้หมด

นี่ก็เหมือนกัน เวลาว่ามารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดไม่ได้อีกเลยแล้วเราก็จำธรรมข้อนี้แล้วก็ไปวิจัยกัน ไปวิเคราะห์กันว่ามันจะเป็นเรื่องอย่างไร มันเป็นอย่างไร ไม่มีทางได้รู้เรื่องหรอก อีกไกลนัก ไอ้นี่มันอีกไกลนัก แต่เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมาร

ฉะนั้น คำนี้เราชอบเอามาพูดบ่อย บ่อยเพราะอะไร เพราะเยาะเย้ยมันไง เยาะเย้ยไอ้พวกไม่รู้ไง ไอ้พวกไม่รู้ มึงรู้ได้ไง เยาะเย้ยมึง แล้วก็เยาะเย้ยให้มึงได้คิด ให้มึงได้สนใจ ให้มึงได้กลับมาค้นหา

นี่พูดถึงว่า คำคำนี้เป็นคำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดบนดวงใจของเราไม่ได้อีกเลย ไม่ได้อีกเลยเห็นไหม

ฉะนั้น อันนี้เพียงแต่ว่าข้อสงสัยของเขาผมรู้สึกมันมีความหมายที่ลึกซึ้ง ในที่นี้หมายถึงสิ่งทั้งปวงทั้งหลายจบลงที่ความคิดใช่หรือไม่ครับ

ความดำริ คำว่าดำริไง ดำริ เป็นความคิดหรือยัง เขาบอกว่าเป็นที่ความคิดไง โลกคิดได้แค่นี้ไง โลกคิดได้แค่นี้และไม่มีครูบาอาจารย์ที่ชี้นำ ไม่มีครูบาอาจารย์คอยบอกคอยกล่าวไง ก็บอกว่าอยู่ที่ความคิดไง ความรู้สึกนึกคิดของเรา ความฟุ้งซ่านของเรา ดูจิตๆ ก็ดูความคิดเท่านั้นแหละ ไอ้พวกดูจิต ไอ้พวกวิเคราะห์วิจัย ก็ความคิดทั้งนั้นน่ะ เป็นความคิดแต่เรื่องโลกๆ น่ะ มันคิดได้แค่นี้ ถ้าคิดได้แค่นี้ก็เป็นความคิด ถ้าความคิดดับ ความคิดดับก็วางยาสลบไง สต๊าฟจิตไว้ไง สต๊าฟจิตไว้เลย เหม่อไปเลยไง เหม่อไปไม่รู้สิ่งใดเลย นี่ความคิดไม่มี แล้วความคิดไม่มีแล้วเป็นอย่างไรต่อ ทำอย่างไรต่อ มารมันครอบอยู่เต็มหัวใจ

ทีนี้คนเราไปคิดมันมีความหมายลึกซึ้งนัก แล้วมันไปจบลงที่ความคิดเท่านั้น ถ้าเราจบที่ความคิด ความคิดมันหมดสิ้นไปก็คือการปฏิบัติสิ้นสุดใช่ไหม

มันไม่ใช่หรอก ความหมายของคน คนไม่เข้าใจเอง คนไม่เข้าใจเองก็คิดว่า เพราะว่าคนเรามีกายกับใจ ร่างกายนี้ ตาเนื้อมันสัมผัสได้ แต่เวลาจิตใจ เห็นไหม เราเห็นหน้าได้ แต่เราเข้าใจความคิดเขาไม่ได้ เรารู้หน้าได้ แต่รู้ใจเขาไม่ได้ ถ้ารู้ใจเขาไม่ได้ ทีนี้ความคิดมันก็คิดว่าความคิดมันละเอียดแล้ว ถ้าความคิดละเอียดแล้วมันก็สิ้นสุดที่ความคิดใช่ไหม...อีกไกลนัก

พุทโธๆ ก็เป็นความคิด คิดจนมันหยุดคิด หยุดคิด พุทโธๆ จนพุทโธไม่ได้ พุทโธไม่ได้คือสัมมาสมาธิ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ถ้าพุทโธๆ ไป ถ้ามันตกภวังค์ไป พุทโธนั้นน่ะมันเป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาสมาธิคือว่ามันตกภวังค์ไป ตกภวังค์ไปเลยนะ หายไปเลย พอมันจะรู้สึกตัวเอง มันสะดุ้งขึ้นมา นั่นน่ะสะดุ้งเหมือนสะดุ้งตื่น นั่นตกภวังค์ นี่ลงภวังค์ไป ลง ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง มิจฉาสมาธิ

ถ้าพุทโธๆ พุทโธจนมันชัดเจนของมัน มันชัดเจนของมัน เห็นไหม ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนๆ เข้าไป พุทโธๆๆ จนละเอียด ละเอียดคือว่ามันรับรู้ของมันละเอียดมาก ละเอียดมาก บางคนมันมีความสุขแล้ว เพราะมันเป็นอุปจาระ มันรู้ของมัน มันมีสมาธิของมัน มันถึงกำหนดพุทโธได้ชัดเจน แล้วพุทโธกับจิตมันไปด้วยกัน สัมพันธ์กัน ไปด้วยกัน มันไม่คิดนอกเรื่อง คิดเรื่องเดียว คิดเรื่องพุทโธ รับรู้แค่พุทโธ มันก็อยู่ที่สมาธิ อยู่ที่อุปจาระ เพราะมันรับรู้ของมัน

ถ้าพุทโธต่อเนื่องไปๆ มันทิ้งเข้ามาเลย มันทิ้งพุทโธเข้ามาเป็นตัวมันเอง ถ้าตัวมันเองก็เป็นสักแต่ว่า ถ้าสักแต่ว่า มันไม่คิดแล้ว ไม่คิดพุทโธเลย ไม่รู้อะไรเลย แต่รู้ เพราะมันเป็นความคิดไง พอความคิดดับหมดแล้วมันมีอะไรต่อ มันแค่สมาธิน่ะ แค่ปล่อยวางเฉยๆ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย เห็นไหม

เวลาจิตออกจากอัปปนามามันก็รับรู้พุทโธได้ มันก็รู้ความคิดได้ เห็นไหม จิตเห็นอาการของจิต จิต จิตคือพลังงาน เห็นอาการคือจับต้องความคิดนั้นได้ ถ้ามันจับต้องความคิดนั้นได้ มันพิจารณาของมันไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่ไง มันจะแยกแยะของมัน เห็นไหม

ที่ว่ามันจะละทิ้งความคิดได้อย่างไร ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ความรู้สึกนึกคิด ในรูป ในความคิดมันก็ยังมีขยายต่อไป มันมีรูปคือความรู้สึกนึกคิด มันมีเวทนาคือความดีใจ ความพอใจไม่พอใจในความคิดนั้น มันมีสัญญา เพราะมีสัญญามันถึงเทียบเคียงความคิดนั้นได้ต่อไป มันมีสังขาร สังขารที่ความที่ปรุงที่แต่งต่อไป ความคิดนั้นมันถึงก้าวเดิน มันถึงต่อเนื่องกันไป อารมณ์ความรู้สึกมันก็ขับเคลื่อนไป มันมีวิญญาณรับรู้ๆ

ในความคิดมันเอามาแยกแยะได้อีกเป็นชั้นเป็นตอน ความคิดเอามาขยายความได้อีกมหาศาลเลยถ้าคนจับได้ตามความเป็นจริงนะ

ฉะนั้นมารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้เลยมันเป็นที่กระบวนการที่เขารู้แจ้งหมดแล้ว เขาถึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไรไง อะไรเป็นมาร อะไรไม่เป็นมาร อะไรเป็นธรรม อะไรไม่เป็นธรรม ธรรมธาตุคือธาตุของธรรมทั้งหมดเลย มันวิมุตติสุข มันพ้นไปแล้ว มันถึงเห็นจริงไง

ถ้ามันไม่เห็นจริงนะ มันก็ยังเป็นการคาดหมาย ถ้าการคาดหมายมันก็จะยุ่งอย่างนี้ การคาดหมายก็คาดหมายว่า มันไปสิ้นสุดที่ความคิดใช่ไหม โอ้โฮ! ความคิดนี้มันละเอียดมากเลย เวลามันปล่อยความคิดไปแล้ว มันจบแล้วใช่ไหม นี่มันก็คาดหมายไป นี่มันเป็นเรื่องการคาดหมาย ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นี้มันไม่สมควร มันเป็นการคาดการหมาย อันที่ว่าสิ่งที่เป็นอย่างนี้เป็นธรรมะ

ธรรมะเยาะเย้ยไง เยาะเย้ยมาร เยาะเย้ยมารเพราะได้ทำลายมันตามความเป็นจริงแล้ว

แต่ถ้าเรายังทำลายไม่ได้ มันก็คาดหมายเป็นแบบนี้ แล้วไม่คาดหมายเป็นแบบนี้ธรรมดานะ พอคาดหมายไป ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติจริงรู้จริง ท่านพูดของท่าน มันเป็นคำพูดเฉพาะ เฉพาะความเข้าใจ เฉพาะความรู้แจ้งของท่าน

แต่ไอ้ของเรามันไม่เฉพาะ มันคลุกเคล้า มันคาดมันหมาย มันจินตนาการ แล้วตีความไป พอตีความไปมันก็เป็นปัญญาโลกๆ แล้วปัญญาโลกๆ นะ มันที่ว่าเป็นปัญญาโลกๆ เราก็เป็นโลก มันเข้าใจได้ไง พอเข้าใจได้ มันซาบซึ้ง

แต่ถ้าเป็นความหมายเฉพาะของผู้ที่ปฏิบัติ มันเข้าใจไม่ได้ เพราะเราทำอย่างนั้นไม่ได้ เราเข้าใจอย่างนั้นไม่ได้ เราก็งงไง เพราะเรางงไง เรางง เราก็เอามาวิเคราะห์วิจัย มันก็เป็นเรื่องโลกไป เรื่องโลกไปก็เป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ความรู้สึกมันมีความหมายที่ลึกซึ้งมาก

มันลึกซึ้งยิ่งกว่าลึกซึ้ง มันลึกซึ้งจนพ้นจากโลกไป เพราะคำว่ามารเอยมันมีของมัน มารเอย มันมีตัวตน มีความพอใจไม่พอใจ แล้วยังมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด เพราะมารมันมีหลานของมัน มีลูกของมัน มีพ่อแม่ของมัน แล้วมีปู่ย่าตายาย

ถ้าหลานของมันก็เด็กๆ เด็กๆ มันจะทำให้เราล้มกลิ้งเลย เรารู้เท่ารู้ทันมันไม่ได้เลย แต่ถ้าเรารู้ทันได้ไม่ได้ เราละสักกายทิฏฐิ นี่หลานมัน

ถ้าลูกมันล่ะ ลูกมัน เราพิจารณาไป พิจารณาของมันต่อเนื่องไป ถ้าเป็นธาตุ กลับสู่ธาตุเดิมของเขา ถ้าพิจารณาขันธ์อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างกลางมันก็ชำระล้างของมัน ถ้ามันสมุจเฉทปหาน มันก็ฆ่าลูกมัน

พ่อแม่มันนะ พ่อแม่มัน พ่อแม่นี่กามราคะ กามราคะมันลึกซึ้งมาก อู้ฮู! มันทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน ต่อสู้ด้วยมหาสติมหาปัญญา ถ้าทำลายพ่อแม่มัน พ่อแม่คือจอมทัพ ถ้าจอมทัพ ทำลายคือแม่ทัพ ถ้าแม่ทัพมันคุมทัพนายกองออกแสวงหา ออกทำสงคราม ออกต่างๆ นี่พ่อแม่มัน ทีนี้พ่อแม่มันถ้าทำลายตรงนี้ ทำลายพ่อแม่มัน ทำลายกามราคะ ขึ้นไปถึงเจ้าวัฏจักร ถ้าขึ้นไปถึงเจ้าวัฏจักร นี่ปู่ย่าตายายของมัน

มารมันเป็นชั้นเป็นตอน สติปัญญากว่าจะเข้าไปถึง ไปถึงที่ว่า มารเอย เห็นไหม เจ้าวัฏจักรมารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรานี่คุมนโยบาย แค่คุมนโยบายแล้วจัดการไป ไอ้แม่ทัพนายกองมันเรื่องกามราคะ ไอ้เรื่องบริษัทบริวารนั้นมันเป็นสิ่งที่กามราคะปฏิฆะอย่างหยาบ ไอ้พวกที่ไพร่พล พวกเบี้ย พวกสักกายทิฏฐิ เห็นไหม หลานมาร ลูกมาร พ่อแม่มาร ปู่ย่าตายายของมาร

แล้วเวลาพระพุทธเจ้าเย้ยมารไง เย้ยปู่ย่าตายาย เรือน ๓ หลัง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วมันรวมเป็นเรือนยอด เรือนยอดคือเจ้าวัฏจักร นี่เยาะเย้ย เยาะเย้ยเจ้าวัฏจักร พ่อของมาร ปู่ย่าตายายของมาร มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า ไม่ดำริ มันไม่เกี่ยวกันแล้ว เอ็งไม่เกี่ยว ไม่มี ไม่ดำริถึงเจ้า จะเข้ามาใช้ดวงใจดวงนี้เป็นที่อยู่อาศัย ใช้ดวงใจดวงนี้เป็นที่ออกไปหาผลประโยชน์ไม่ได้อีกเลย ไม่มีสิทธิ์เข้ามาสู่ธรรมธาตุอันนี้อีกเลย เห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงเยาะเย้ยมาร

ทีนี้เยาะเย้ยมาร เราจะพูดบ่อย พูดบ่อยเพราะว่าให้มันเห็นว่ามันมีอยู่จริงไง คนทำได้จริงคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเย้ยมาร พอเย้ย มันเย้ยตามความเป็นจริง

แต่พวกเราศึกษา ศึกษาเป็นทางวิชาการก็ซาบซึ้ง ละเอียดอ่อนต่างๆ ละเอียดอ่อน เป็นการยืนยันเฉยๆ ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง ถ้ามีอยู่จริง ทำได้จริงนะ ฉะนั้น นี่มีอยู่จริง

แต่เวลาว่า ขณะที่ผู้ถามบอกว่าผมรู้สึกว่ามันลึกซึ้งมาก ในที่นี้หมายความว่า ทั้งหลายทั้งปวงจบลงที่ความคิดใช่หรือไม่

ทั้งหลายทั้งปวงจบลงที่ความคิดนี่มิจฉาทิฏฐิ ทั้งหลายทั้งปวงจบลงที่ความคิด จบลงที่ความคิดนะ ความคิดมันไม่ใช่เรา เวลาเรามีความรู้สึกนึกคิด เราก็คิดของเราอย่างนี้ เวลาเรานอนหลับ เวลาเราปลอดโปร่ง เราไม่มีความคิดเลย แสดงว่าตอนนั้นไม่มีมารเนาะ เพราะจบแล้ว ความคิดจบแล้ว

เวลาเราสบายใจ เรามีความสบายใจ เราปลอดโปร่งของเรา ความคิดเราไม่มี เราปล่อยใจเราว่างๆ ไม่มีความคิดเลย นั่นน่ะมารทั้งนั้นน่ะ แต่เพราะไม่มีการประพฤติปฏิบัติ เพราะไม่มีครูบาอาจารย์

ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ สิ่งนี้มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ สามัญสำนึกของคน ฉะนั้น คนเราต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา สงบเข้ามาแล้ว นี่สัมมาสมาธิ มันจะรู้ถึงตัวตนของมัน มันมีกำลังของมัน มันบริหารจัดการของมันได้ ถ้าบริหารจัดการของมันได้ จิตเห็นอาการของจิต ก็เห็นความคิด เห็นขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้ามันจับต้องของมันได้ มันจะมีวิปัสสนา มันจะเริ่มเป็นภาวนามยปัญญา มันจะเริ่มเข้าสู่อริยสัจ มันมีที่มาที่ไป มันต้องมีเหตุมีผล ถ้าภาวนาอย่างนี้มันจะเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็นถูกต้อง

พอจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง สติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม วิปัสสนา ปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ มันต้องสติปัฏฐาน ๔ โดยจิตที่มันรู้มันเห็น สติปัฏฐาน ๔ ที่จิตกระทำ มันมีการกระทำ มันมีวิปัสสนาญาณ

ไม่ใช่สติปัฏฐาน ๔ โดยจำมาไงอ๋อ! อย่างนี้เป็นสติปัฏฐาน ๔ เป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรม เป็นการปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔นึกคิดเอาหมดเลย มันก็เป็นปริยัติเท่านั้นเองน่ะ นี่ไง ถ้ามันเป็นปริยัติ

ทั้งหลายทั้งปวงจบลงด้วยความคิดใช่ไหม

ถ้าจบแล้วก็จบ อย่างนั้นคนที่เจ้าชายนิทราเป็นพระอรหันต์ เจ้าชายนิทรามันก็ไม่มีความคิด มันนอนนิทราอยู่นั่นน่ะ ก็จะต้องไปกราบแล้ว กราบพระอรหันต์นอนตามโรงพยาบาลเยอะแยะไปหมดเลย มันไม่ใช่

ทั้งหลายทั้งปวงจบลงด้วยความคิดใช่ไหม

ต้องทำความสงบของใจเข้ามา แล้วใจเห็นความคิด แล้วพิจารณาแยกแยะความคิดว่า ความคิดไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ความคิด คือมันสละความคิด มันปล่อยวางความคิดได้ตามความเป็นจริง มันสละทิ้งหมดเลย แล้วมันเข้าใจตามนั้นหมดเลย แล้วมันตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราว ถ้ามันสมุจเฉทปหาน มันตัดขาดอย่างไร ตัดขาดสังโยชน์ขาดอย่างไร

เพราะเราพูดไป พูดเพื่อยืนยันกันไง เพราะคำนี้มันยืนยัน แล้วเวลาโลกเขาสอน เขาสอนไปอีกอย่างหนึ่ง อันนี้พูดถึงเรื่องของมารเนาะ ฉะนั้น กรณีนี้มันมีอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วเวลาใครเรียนปริยัติ มันอยู่ที่ว่าจริตนิสัยคนชอบใจไม่ชอบใจ ถ้าชอบใจอย่างไร อะไรที่มันเป็นที่ฝังใจมันจะชอบของมัน ถ้าไม่ฝังใจมันก็ไม่ฝังใจ มันก็ไม่สนใจ อันนี้ประเด็นที่ว่าจริตนิสัยของคน จบ

ถาม : เรื่องมันคือเวรกรรมของลูกหรืออาการข้างเคียงของการนั่งสมาธิคะ

กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ อาการนี้กลับมาอีกแล้วค่ะ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยดูด้วยค่ะ ลูกคิดว่ามันเป็นอาการข้างเคียงหรือเปล่าคะ หรือว่ามันคือเวรกรรมของลูกคะ

ไม่ว่ามันจะคืออะไร ลูกก็จะยอมรับค่ะ ลูกจะตั้งใจภาวนาต่อไป ถ้าเป็นเวรกรรม ลูกก็จะใช้กรรมต่อไปค่ะ ถ้าไม่ใช่เป็นผลของการกระทำผิดวิธี ก็ขอความเมตตาให้หลวงพ่อช่วยแนะนำลูกด้วยนะคะ

คือตั้งแต่เริ่มนั่งสมาธินะคะ แต่ก่อนเมื่อนั่งสมาธิได้ดีเท่าไร เมื่อนอนไป อาการก็จะรุนแรงไปมากเท่านั้นค่ะ เมื่อช่วงที่ลูกหยุดนั่งสมาธิ อาการมันหายไปแล้วค่ะ แต่มาตอนนี้ลูกมาภาวนาใหม่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เหมือนเดิม แต่อาการเหล่านั้นก็กลับมาอีกแล้วค่ะ มันเป็นช่วงนอนหลังจากนั่งสมาธิ ไม่ใช่ฝันค่ะ แต่ลูกก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร

เริ่มจากรู้สึกถึงกลุ่มพลังงานหนึ่งที่เกิดขึ้นช่วงหน้าและศีรษะนี้ค่ะ ที่ทำให้ตาในลูกรู้สึกตื่นขึ้นมา ถ้าลูกตั้งสติ พยายามควบคุมสถานการณ์ได้ ท่องพุทโธต่อไป มันจะเป็นการทำสมาธิ

แต่ถ้าลูกทำไม่ได้ดี อาการก็เตลิดไปเลย กลายเป็นการนอนที่ฝันร้าย มั่ว ทุกข์ทรมานแบบไม่สุขสบายค่ะ ที่ลูกว่าไม่สุขสบายเพราะคือลักษณะพลังงานนี้นะคะ มันทำให้รู้สึกเหมือนมันวืดวาบซ่าซ่านนะคะ เหมือนมานั่งสมาธิบางครั้งก็รู้สึกว่าวืดวาบ หมุนติ้ว ซึ่งมีสติอยู่ทุกอย่าง แต่เวลามันมากวนช่วงนอนหลับนี้สิคะมันแย่ แต่ลูกตั้งสติไม่ได้ดี ลูกกลัวว่าหลุดออกไปเหมือนตอนที่หัดนั่งสมาธิใหม่ๆ ค่ะ ลูกนั่งสมาธิแล้วนอน ก่อนนอนก็ท่องพุทโธ แล้วเกิดอาการขึ้น แล้วก็หลุดออกไปยืนอยู่ที่ปลายเท้าค่ะ หลวงพ่อช่วยลูกที

ตอบ : ไอ้นี่เขาเคยถามมาเมื่อก่อนนั้นทีหนึ่ง แล้วเขาถามมา ก็พูดไปเรื่อยว่า เวลาจิตเขาหลุดออกไป จิตเขามีต่างๆ ก็พยายามแก้ไขกันมาจนเป็นปกติ แล้วปกติแล้วก็หายไป แล้วนี่พอภาวนาไป มาอีกแล้ว

เวลาภาวนาไป มาอีกแล้ว มันเป็นนิสัยของคน ถ้าเป็นนิสัยของคน สิ่งต่างๆ เราจะวางให้หมด นี่มันตกใจไง เวลาภาวนาไปเห็นอาการขึ้นมาแล้วมันจะตกใจ แล้วมันจะมีอะไรวูบวาบไปหมดเลย

ถ้ามีอะไรสิ่งต่างๆ วางไว้ แล้วกำหนดพุทโธไว้ เรากำหนดพุทโธไว้ไม่ให้จิตมันออกไปรับรู้ มันอาการของจิตทั้งนั้นน่ะ อะไรจะเกิดขึ้น จิตออกไปรับรู้ มันเป็นอาการของมันไปรับรู้สิ่งต่างๆ ไปรับรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องต่างๆ แล้วมันเป็นที่นิสัย นิสัยของคน ถ้ามันเริ่มสงสัย ถ้าเราสงสัยแล้วเราอยากรู้อยากเห็น นี่จิตมันหลอกแล้ว มันจะให้เราออกไปตามที่มันต้องการ

แต่ถ้าเรามีสตินะ ถ้ามันมีสติ เราต้องการบริกรรมให้อยู่กับพุทโธอย่างเดียว คือให้จิตเรามันเป็นเอกภาพ จิตเราเป็นหนึ่งเดียว อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มันบังคับให้อยู่กับสิ่งนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วจะปล่อยไปตามธรรมดา ปล่อยไปตามธรรมดา ธรรมชาติที่รู้มันจะรู้เรื่องนู้น รู้เรื่องอย่างอื่นบ้าง เรารู้พุทโธด้วย แล้วก็รู้อย่างอื่นเจือปนไปด้วย

ทีนี้ พุทโธๆๆ พุทโธมันเป็นคำบริกรรมเพื่อให้จิตสงบ ทีนี้คำบริกรรม จิตมันมีอาการขึ้นมามันก็ออกรับรู้สิ่งต่างๆ ออกรับรู้ไง ถ้าออกรับรู้ไป สิ่งที่รับรู้มันก็สงสัย มันอยากรู้ มันอยากรู้อยากเป็นไป

แต่ถ้าเรามีสตินะ มันยังไม่ถึงเวลา อะไรจะเกิดขึ้น วางให้หมด อยู่กับพุทโธไปเรื่อยๆ อยู่กับพุทโธไปเรื่อยๆ เพราะเรากำหนดพุทโธแล้ว พอมันปล่อยวางเข้ามา มันปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ มาอยู่กับพุทโธเฉยๆ อยู่กับพุทโธชัดๆ อยู่กับลมหายใจชัดๆ อยู่กับลมหายใจก็ได้

อยู่กับลมหายใจ อยู่กับมรณานุสติ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จิตจับเป็นหนึ่งเดียว เพราะจับเป็นหนึ่งเดียว จิตมันเป็นหนึ่ง จิตเป็นหนึ่งมีกำลัง กำลังมันถึงออกรู้ไง คือสิ่งที่เราทำขึ้นมามันมีกำลัง มันเป็นความดี แต่ความดีของเรา อำนาจวาสนาของเรามีแค่นี้ พอเรามีกำลังปั๊บ มันก็แถไง ออกไปรู้นู่นรู้นี่ แล้วเราเองเราก็อยากไปรู้ เราเองเราก็มีกิเลสอยู่ เราก็มีมารอยู่ที่ว่าเราก็ออกไปรับรู้ไง รับรู้มันก็สะเทือนไปหมด

แต่ถ้าเราวางล่ะ เราพุทโธชัดๆ ไว้ มันรู้สิ่งใด รู้นั้นก็เข้าใจว่ารู้ เข้าใจ เรารู้เราเข้าใจแต่ไม่สงสัย ตอนนี้เราเคยสงสัยแล้วเราเคยตามไป เคยตามไป เดี๋ยวก็ออกรู้แล้ว หนึ่ง ฐานของกำลังมันจะเสื่อมไป เพราะสิ่งที่จะรู้ได้เพราะเราพุทโธ เราทำจิตของเราเป็นเอกภาพ มันมีกำลัง มันถึงรู้ เพราะมันถึงรู้

ฉะนั้น เพราะเราถึงรู้ มันจึงออกไปรู้ พอออกไปรู้ ไอ้ฐานนี้มันก็เสื่อมลงๆ ไอ้ความรู้นั้นมันไปแล้วนะ ที่ไปเห็นแล้ว เห็นอาการต่างๆ มันก็ชัดเจน พอจิตมันตามไป เดี๋ยวก็พร่ามัว แล้วเดี๋ยวก็จับต้นชนปลายไม่ได้ แล้วเดี๋ยวตัวเองก็งง เดี๋ยวตัวเองก็ล้มลุกคลุกคลาน

แต่ถ้าเราไม่สงสัย เราไม่ตามมันไป เราอยู่กับพุทโธ อยู่กับอานาปานสติ อยู่กับมรณานุสติ อยู่กับอะไรก็ได้ชัดๆ อยู่นี่ มันก็อยากรู้อยากเห็นนั่นน่ะ แต่ว่าเราบังคับไว้ ไม่ไป ไม่ไป มันก็พุทโธไปเรื่อย พุทโธไปเรื่อย ถ้ามีกำลังขึ้นมานะ ความสงบจะมากขึ้น

ก็เรานี่สงบเอง เรานี่สงบเอง เรานี่รู้เอง เรานี่เป็นไปเอง นี่เป็นปัจจัตตังไง ถ้าปัจจัตตัง อันนี้มันจะดีขึ้น มันไม่เสียหาย แต่ถ้าออกไปรู้มันจะเสียหาย มันจะเป็นไปกับเขา ฉะนั้น เราไม่ไปตามนั้น เรากำหนดรู้ไว้

ฉะนั้น สิ่งที่ว่ามันมาอีกแล้ว คำถาม เห็นไหมเวรกรรมของลูกหรือว่าอาการข้างเคียงมันคืออะไรนี่สงสัยไปหมด

ถ้าเราสงสัย สงสัยคือนิวรณธรรม เห็นไหม วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันเป็นนิวรณ์ นี่เป็นนิวรณ์ มันก็เป็นความลังเล ลังเลแล้วมันก็ก้ำกึ่ง พอก้ำกึ่ง ล้มลุกคลุกคลานหมดน่ะ

วางให้ได้ ทำให้จริงจัง วางไว้หมด ปัจจุบันนี้เราจะเอาพุทโธ เราอยู่กับพุทโธ เราจะไม่ไปสิ่งใดเลย เราทำแค่นี้ เพราะเราภาวนาเพื่อความสงบของใจ ไม่ต้องหวัง ไม่ต้องคาดหวัง เห็นไหม คาดหวังว่าเราจะเป็นอย่างนั้น เราจะเป็นอย่างนี้ ไม่ต้อง

เพราะว่าเรากำหนดพุทโธ เราใช้ภาวนาเพื่อความสงบระงับ เพื่อความสุขของเรา เพื่อความเป็นจริงไง

คนที่เขาจะไปเที่ยวไหนก็แล้วแต่ เขาจะมีข้าวของเงินทองขนาดไหนก็แล้วแต่ เขาก็ใช้แค่ปัจจัยเครื่องอาศัยในชีวิตเท่านั้นแหละ

นี่ก็เหมือนกัน เราทำความสงบของใจก็เพื่อความสุขความสงบของเรา เพื่อเป็นความจริง ให้จิตใจมันได้สัมผัส เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา เราทำแค่นี้ ไอ้สิ่งที่รับรู้ๆ มันเป็นเครื่องข้างเคียง มันเป็นสิ่งที่มันมาทีหลัง เราต้องการอริยสัจ เราต้องการพ้นจากทุกข์ เราต้องการความสงบร่มเย็นในใจ เราไม่ต้องการว่าเราจะมีทรัพย์สมบัติจะไปอวดใคร จะไปรับรู้กับใคร อันนั้นมันเรื่องปลีกย่อย มันไม่ใช่หลัก ไม่ใช่ความจริง

ความจริงมันคืออริยสัจ ความจริงมันอยู่ที่ความสงบระงับอันนี้ เราอยู่ที่ความจริงอันนี้ไง ถ้าอยู่ที่ความจริงอันนี้ มันจะมาหลอกอะไรเราไม่ได้เลย ไอ้นี่ล้มลุกคลุกคลานไปหมดเลย โดยหลักมันเป็นแบบนี้

แล้วถามหลวงพ่อมา แล้วหลวงพ่อช่วยหนูที

หลวงพ่อก็อยู่นี่ อยู่ที่นี่ ผู้ถามก็อยู่ที่บ้านของตัว แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ มันต้องมีสติมีปัญญาของเรา เราต้องช่วยเหลือตัวเราเอง ถ้าเราช่วยเหลือตัวเราเอง เราทำที่นี่ เราทำประโยชน์ที่นี่ มันก็จะจบที่นี่

ฉะนั้น ถ้าจบที่นี่ ตั้งสติ ตั้งสติไว้นะ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วถ้ามันมีปัญหาก็ขอขมาลาโทษซะ ขอขมาลาโทษนะ แล้วเอาที่พึ่ง รัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งของเรา รัตนตรัย แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเรา เป็นรัตนตรัย เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา เราเอานี่เป็นที่พึ่ง แล้วเรากำหนดที่นี่ แล้วเราหัดฝึกภาวนาของเรา ทำที่นี่ของเราได้ มันก็จะมีที่พึ่งได้

ถ้าจะว่าหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นที่พึ่ง

อยู่ไกลนะ อยู่ไกล แล้วเวลามันสุขมันทุกข์ มันสุขมันทุกข์ในใจ ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ หาความสุขความทุกข์ในใจของเราได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเราได้ ถ้าเป็นประโยชน์กับเราได้นะ เอาที่นี่ เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจของเรา เอวัง